ความเชื่อกับความจริงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ความจริง คือ สิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ตามธรรมชาติอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หรือเรียกได้ว่า ธรรมชาติก็คือความจริง โดยธรรมชาติก็คือสิ่งธรรมดาๆที่เราสามารถสัมผัสได้นี่เอง ซึ่งธรรมชาติทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เราไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ไม่รู้ว่าทำไมสิ่งทั้งหลายจึงได้เป็นเช่นนี้? ถ้าเราจะได้รู้ความจริงนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่เห็นแจ้งธรรมชาติ เมื่อเห็นแจ้งธรรมชาติ เราก็จะเห็นแจ้งชีวิตได้ หรือรู้ว่าสิ่งที่เป็นเรานี้คืออะไร?  

ธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่หรือเป็นอยู่นั้นก็คือความจริง แต่เมื่อเรายังไม่ได้รับรู้หรือสัมผัสมัน มันก็จะยังไม่ใช่ความจริงสำหรับเรา จนกว่าเราจะได้สัมผัสกับมัน มันจึงจะเป็นความจริงสำหรับเรา แต่ถึงแม้มันจะเป็นความจริงสำหรับเราแล้ว ถ้าเราจะไปบอกคนอื่นว่าเป็นความจริง คนอื่นเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่อยู่นั่นเอง เพราะเขายังไม่ได้สัมผัสความจริง จนกว่าเขาจะได้สัมผัสความจริงแล้ว เขาจึงจะพบความจริงด้วยตัวของเขาเอง

วิธีการค้นหาความจริงของธรรมชาติ ที่จะทำให้เราค้นพบความจริงของธรรมชาติที่ได้ถูกต้องอย่างไม่มีทางผิดพลาดก็คือ การศึกษาจากธรรมชาติจริงๆ โดยไม่เชื่อจากใครๆ ซึ่งการศึกษาจากธรรมชาติจริงๆนี้ เราก็ต้องใช้ระบบประสาททั้ง ๖ ของเรามาศึกษา เราจะไม่ศึกษาจากความรู้ของคนอื่น คือจากตำราหรือจากการบอกกล่าวของคนอื่น เพราะนั่นคือความรู้ของคนอื่น ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่

ความรู้ของคนอื่นก็คือความเชื่อสำหรับเรา ซึ่งความเชื่อก็คือ ความมั่นใจว่าเป็นความจริง เมื่อเราเชื่อคนอื่น ก็แสดงว่าเรามั่นใจว่าเป็นจริงตามที่เขาบอกมา โดยที่เรายังไม้รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์ความเชื่อ จนพบความจริงแล้วเท่านั้น ความเชื่อนั้นจึงจะกลายเป็นความจริงสำหรับเราได้ แต่ถ้ายังพิสูจน์ความเชื่อไม่ได้ ความเชื่อนั้นก็จะยังคงเป็นความเชื่ออยู่ต่อไป แม้เราจะมั่นใจว่าเป็นความจริงสักเท่าใดก็ตาม ซึ่งความเชื่อนี้บางคนก็มั่นใจมาก (เชื่อเต็มที่) บางคนก็มั่นใจน้อย (เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง)

สรุปได้ว่า ความเชื่อยังไม่ใช่ความจริง เพราะความเชื่อคือความรู้ของคนอื่น ส่วนความจริงคือความรู้ของเราที่เราค้นพบแล้ว ซึ่งความรู้ก็คือปัญญา ดังนั้นความเชื่อจึงไม่ใช่ปัญญาสำหรับเรา ต้องเป็นความจริงที่เราค้นพบแล้ว จึงจะเป็นปัญญาสำหรับเรา ซึ่งการศึกษาชีวิตเพื่อให้ได้รู้ว่าเราคืออะไร? นี้ ถ้าจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ก็ต้องศึกษาจากสิ่งที่เรามีอยู่จริง เราจึงจะพบความจริงและเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาได้อย่างแท้จริง ถ้าศึกษาจากความเชื่อก็เป็นความเสี่ยงที่เราอาจจะได้พบความจริงหรือไม่ได้พบความจริงก็ได้ ซึ่งถ้าเราจมอยู่กับความเชื่อที่บังเอิญไม่ใช่ความจริงเข้า ก็จะทำให้เราต้องเสียเวลาไปความเชื่อนั้นโดยไม่ได้อะไร  หรือถ้าบังเอิญความเชื่อนั้นเป็นความจริงก็โชคดีไป แต่แม้ความเชื่อนั้นจะเป็นความจริงก็ตาม เราก็ยังต้องละทิ้งความเชื่อนั้นอยู่ดี เพราะเราได้ค้นพบความจริงแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่